พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งบรมราชจักรีวงศ์ ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 และสมเด็จพระศรี สุริเยนทราบรมราชินี พระราชสมภพ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ.2347 มีพระนามเดิมว่า "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมติเทวาวงศ์" เมื่อพระชนมายุครบ 21 พรรษาทรงผนวช ตามราชประเพณี แต่เมื่อผนวชได้ 15 วัน สมเด็จพระบรมชนกนาถพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ก็เสด็จสวรรคตโดยไม่ทันได้มอบราชสมบัติให้แก่ผู้ใดพระบรมราชวงศ์และเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ประชุมหารือและตัดสินใจอัญเชิญกรมหมื่นเจษฏาบดินทร์ พระเชษฐาต่างพระมารดาซึ่งเจริญพระชันษา กว่าเจ้าฟ้ามงกุฎถึง 17 พรรษาขึ้นครองราชสมบัติ พระนามว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 เจ้าฟ้ามงกุฎจึงตัดสินพระทัย ครองสมณเพศต่อไปอย่างไม่มีกำหนด เสด็จจำพรรษา ณ วัดสมอรายหรือวัดราชาธิวาสในปัจจุบัน ทรงมีฉายาขณะทรงเพศบรรพชิตว่า "วชิรญาณภิกขุ"
ช่วงเวลาระหว่างอยู่ในเพศบรรพชิต พระองค์ทรงมีเวลาศึกษาศิลปะวิทยาการหลายแขนง ประวัติศาสตร์ โบราณคดี โหราศาสตร์ ภาษาบาลี จนทรงมีความรอบรู้ลึกซึ้งกว้างขวาง ทรงรอบรู้แตกฉานในพุทธศาสนาทรงเคร่งครัดในพระธรรมวินัย และตั้งคณะสงฆ์นิกายใหม่ที่ชื่อว่า "คณะธรรมยุตินิกาย" เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของประชาชนทำให้คณะสงฆ์เก่า คณะมหานิกาย ตื่นตัวนับเป็นการฟื้นฟูพุทธศาสนาที่กำลังเสื่อมโทรมในขณะนั้นด้วยทางหนึ่ง
ปีพ.ศ.2380 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระองค์เป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ได้ทรงเริ่มติดต่อสมาคมกับชาวต่างประเทศ ตั้งแต่พ่อค้าจนถึงหมอสอนศาสนามิชชันนารี ได้แก่ ศาสนาจารย์เจสซี่ แคสแวล ศาสดาจารย์ดีบี บรัดเลย์ และ ดร.เรโนลด์ เฮาส์ ถวายพระอักษรภาษาอังกฤษ ความรู้และวิทยาการความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของชาวตะวันตก อาทิเช่น วิชาดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการแพทย์ ทรงสั่งซื้อ แท่นพิมพ์หินจากสหรัฐอเมริกาเพื่อจัดพิมพ์บทสวดมนต์และตำราภาษาบาลีขึ้นหลายเล่ม นับเป็นโรงพิมพ์แห่งแรกของคนไทย ระหว่างทรงผนวชอยู่โปรดเสด็จฯ ธุดงค์ไปตามหัวเมืองต่างๆ ทำให้ทราบถึงสถานการณ์บ้านเมือง และความทุกข์สุขของราษฎรอย่างแท้จริง
ครั้น ถึงปี พ.ศ. 2394 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต พระบรมวงศานุ-วงศ์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ได้ถวายบังคมทูลอัญเชิญเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ พระองค์จึงทรงลาผนวชรวมจำพรรษาได้ 27 พรรษาขณะนั้นมีพระชนมายุ 47 พรรษา เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2394 โดยมีพระปรมาภิไธยโดยย่อว่า "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรามหามงกุฎฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์พระองค์ทรงตระหนักดีว่าต่างชาติกำลังแผ่ขยายอำนาจมาบริเวณใกล้เคียง ประเทศไทย (สมัยนั้นเรียกว่า ประเทศสยาม) ถึงเวลาต้องปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยเป็นที่ยอมรับของชาติตะวันตก ทรงปรับปรุงแก้ไขธรรมเนียมประเพณีเก่าๆ ที่ล้าสมัย เช่นยกเลิกประเพณีเข้าเฝ้าตัวเปล่าไม่สวมเสื้อ เลิกไว้ผมทรงมหาดไทยทรงส่งเสริมให้เจ้าจอม พระราชโอรส พระราชธิดา เรียนรู้ภาษาอังกฤษ ทรงตกลงยินยอมทำสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีกับอารยประเทศ อนุญาตให้ประเทศมหาอำนาจตั้งสถานกงสุล มีนโยบายผ่อนหนักผ่อนเบาส่งผลให้ประเทศชาติรอดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้นของชาติมหาอำนาจ ทำให้ชาวต่างชาติรู้จักพระองค์ ในนาม "คิงมงกุฎ" อย่างกว้างขวาง
ในปี พ.ศ.2398 สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียแห่งประเทศอังกฤษ ทรงส่ง เซอร์ จอห์น เบาวริง เป็นราชทูตเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงต้อนรับอย่างสมเกียรติ ทรงสนทนาด้วยภาษาอังกฤษตลอดเวลา เป็นที่ปลาบปลื้มแก่ราชทูตยิ่งนัก ถึงกับทูลว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์แรกในบูรพาทิศที่ตรัสภาษาอังกฤษได้ในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรด เกล้า ฯ แต่งตั้งคณะทูตไทยเชิญ พระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการ ไปถวายสมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย เป็นการเจริญทางพระราชไมตรีตอบแทน นอกจากนั้นยังโปรดเกล้า ฯ ให้มีคณะทูตไทยเชิญพระราชสาสน์ และเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระเจ้านโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส ทำนองเดียวกันด้วย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ต่อเรือกลไฟพระที่นั่งอรรคราชวรเดช เรือรบกลไฟ เช่น เรือราญรุกไพรี ศรีอยุธยาเดช มหาพิชัยเทพ นับเป็นความสามารถของคนไทยสมัยนั้นจนรัฐบาลญี่ปุ่นเจรจาขอซื้อเรือรบกลไฟไปใช้ ทรงริเริ่มให้มีการจัดการฝึกทหารอย่างชาติยุโรป โดยจ้างนายร้อยเอก อิมเป เข้ามาจัดระเบียบทหารบก ทรงให้ผู้เชี่ยวชาญชาวยุโรปมาทำแผนที่พระราชอาณาจักรด้านตะวันออกริมฝั่งแม่น้ำโขง
เรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดช เป็นประเภทเรือยอช์ททำด้วยไม้ ระวางขับน้ำ 600 ตัน ความยาว 212 ฟุต กว้าง 20 ฟุต ปืนใหญ่ 2 กระบอก เครื่องจักรข้าง 2 ปล่อง ความเร็วสูงสุด 12 นอต มีทหารประจำเรือ 90นาย
แต่เดิมนั้นคนไทยยังไม่มีนาฬิกาบอกเวลา จะใช้กะลามะพร้าวลอยเจาะรูลอยในอ่างน้ำที่เรียกว่า "นาฬิกา" เมื่อน้ำไหลเข้ารูกะลาจนจมลงถือเป็น 1 ชั่วโมง คนนั่งยามจะตีฆ้องบอกเวลากลางวันจึงเรียกว่า "โมง" หากเป็นเวลากลางคืนจะใช้ตีกลองเรียกว่า"ทุ่ม" ซึ่งการแจ้งเวลาแบบนี้ไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสถาปนาระบบเวลามาตรฐานขึ้นในปี พ.ศ. 2401 โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งภูวดลทัศไนยซึ่งตั้งอยู่ในพระบรมมหาราชวังเป็นพระที่นั่งทรงยุโรปสูง 5 ชั้นยอดบนสุดติดนาฬิกาขนาดใหญ่ 4 ด้านใช้เป็นนาฬิกาหลวงบอกเวลามาตรฐานของประเทศไทย โดยมีพนักงานนาฬิกาหลวงเทียบเวลาตอนกลางวันจากดวงอาทิตย์ เรียกตำแหน่ง "พันทิวาทิตย์และพนักงานเทียบเวลาตอนกลางคืนจากดวงจันทร์ เรียกตำแหน่ง "พันพินิตจันทรา" ซึ่งพระองค์ได้ทรงริเริ่มทำขึ้นก่อนประเทศอังกฤษ22 ปี
นอกจากนี้พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง "หอชัชวาลเวียงชัย" ขึ้น ในบริเวณพระนครคีรี หรือเขาวัง พระราชวังสำหรับแปรพระราชฐาน อยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี หอชัชวาลเวียงชัย เป็นกระโจมทรงกลม หลังคาประดับด้วยกระจกโค้ง ห้อยโคมไฟมองเห็นได้ไกลจากทะเลใช้เป็นเสมือนประภาคารของนักเดินเรือที่จะเข้าอ่าวบ้านแหลมในเวลากลางคืนด้วย พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ ใช้เป็นที่สังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ในการรักษาเวลามาตรฐานของประเทศ โดยทรงสถาปนาเส้นแวงที่ 100 องศาตะวันออก ผ่านใกล้พระนครคีรีใช้เป็นเส้นแวงหลักของระบบเวลามาตรฐานของประเทศไทยสมัยนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะหอดูดาว 4 ชั้นในพระราชวังจันทรเกษม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งสร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชตามแบบเดิม พระราชทานนามว่า "พระที่นั่งพิไสยศัลลักษณ์"
ในรัชสมัยของพระองค์ ได้ปรากฏดาวหางดวงใหญ่ 3ดวงคือ ดาวหางฟลูเกอร์กูส์ ในปี พ.ศ. 2353 ดาวหางโดนาติ (Donati) ในปี พ.ศ.2401 และดาวหางเทบบุท (Tebbutt) ในปี พ.ศ.2404ทำให้ชาวบ้านต่างหวาดกลัวเพราะเชื่อว่าเป็นลางร้าย พระองค์ทรงออกประกาศเตือนล่วงหน้าและทรงอธิบายอย่างมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ว่าดาวหางเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติมีผู้คนเห็นกันทั่วโลกไม่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น
พระอัจฉริยภาพทางด้านวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ของพระองค์ปรากฏเด่นชัดขึ้น เมื่อทรงคำนวณว่าจะเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง ตรงกับวันอังคาร ขึ้น 1 ค่ำเดือน 10 ปีมะโรง หรือวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2411 เห็นได้ที่ ต.หว้ากอ จ.ประจวบคีรีขันธ์ก่อนล่วงหน้าถึง 2 ปี ด้วยความรู้ทางด้านดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์ชั้นสูงที่ทรงศึกษาด้วยพระองค์เองกับระบบเวลามาตรฐานของไทยที่ทรงตั้งขึ้นโดยไม่มีหลักฐานว่ามีการคำนวณไว้ก่อนจากต่างประเทศ และยังแย้งกับตำราโหรของไทยว่าสุริยุปราคาไม่มีทางเห็นหมดดวง วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ.2411พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค โดยเรือพระที่นั่งอรรคราช-วรเดชจากท่านิเวศน์วรดิษฐ์ไปยังบ้านหว้ากอ พร้อมด้วยพระราชโอรส พระราชธิดา รวมทั้งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ(รัชกาลที่ 5)ขณะพระชนมายุ 16 พรรษา กับเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ข้าราชบริพาร จำนวนมาก ด้วยทรงตั้งพระปณิธานแน่วแน่ที่จะพิสูจน์ผลการคำนวณของพระองค์
วันสำคัญในประวัติศาสตร์ไทยที่ 18 สิงหาคม 2411 เริ่มต้นอย่างไม่แจ่มใสนัก อากาศปรวนแปร มีเมฆมากหนาและฝนตกประปรายตั้งแต่เช้าทุกคนกังวลใจเกรงว่าจะไม่ได้เห็นปรากฏการณ์จน อีก 10 นาที ก่อนเกิดสุริยุปราคา ท้องฟ้าเริ่มใสกระจ่างขึ้น ไม่มีผู้ใดแลเห็นสุริยุปราคาตอนเริ่มจับ ซึ่งทรงพยากรณ์ไว้ว่าคราส เริ่มจับเวลา 10 นาฬิกา 4 นาที รอถึงเวลา 10 นาฬิกา 16 นาที เมฆจึงจางออกคราสจับมากขึ้นทุกทีท้องฟ้า ที่สว่างอยู่เริ่มมืดสลัวลง จนเมื่อเวลา 11 นาฬิกา 20 นาที ท้องฟ้ามืดลงจนมองเห็นดาวดวงสว่างได้ คราสจับ เต็มดวงเมื่อเวลา 11 นาฬิกา 36 นาที 20 วินาที
กินเวลานาน 6 นาที 45 วินาที ท้องฟ้ามืดจนเป็นเวลากลางคืน ไม่เห็นหน้าแม้ผู้อยู่ใกล้เป็นสุริยุปราคาเต็มดวง ตรงตามเวลาที่พระองค์ทรงคำนวณพยากรณ์ไว้ทุกประการ หลังจากนั้น ดวงจันทร์เริ่มเคลื่อนคลายออกจากดวงอาทิตย์ จนเมื่อเวลา 13 นาฬิกา 37 นาที45 วินาที คราสก็คลายออกสิ้น ท้องฟ้าสว่างเป็นเวลากลางวันดังปกติ ปรากฏการณ์ครั้งนั้นพิสูจน์ให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประสบความสำเร็จในการคำนวณสุริยุปราคาได้แม่นยำกว่านักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ซึ่งคำนวณคลาดเคลื่อนไป 2 นาที
ในสมัยนั้นยังไม่มีใครรู้จักโรคมาลาเรีย หรือไข้จับสั่นจึงไม่มีความระมัดระวังเรื่องนี้กันนักจนเมื่อถึงเวลา เดินทางกลับมีคนจำนวนมากติดเชื้อไข้มาลาเรีย รวมทั้งคนงานที่ทำการก่อสร้างเรือนพักรับรองทั้งหลาย ซึ่งอยู่ในพื้นที่เป็นเวลานานในจำนวนนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ และนักวิทยาศาสตร์อีก 8 คน ก็ติดเชื้อไข้มาลาเรียด้วย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวค่อนข้างมีพระอาการหนักกว่าผู้อื่น เมื่อเสด็จฯ กลับถึงเมืองหลวงทรงอ่อนพระกำลังมากแล้ว แพทย์หลวงได้พยายามถวายการรักษาเท่าใดพระอาการก็ทรุดลงทุกที พระองค์ทรงประชวรอยู่ 37 วันก็ เสด็จสวรรคตเมื่อเวลาประมาณ 21 นาฬิกา คืนวันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2411 สิริรวมพระชนมายุ 64 พรรษา ท่ามกลางความวิปโยค โศกสลดของเหล่าพสกนิกรของพระองค์
จากเหตุการณ์สำคัญ ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชดำเนินทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง ทำให้ประชาชนชาวไทย และทั่วโลกได้ทราบถึงพระอัจฉริยภาพด้านวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2525 เนื่องในโอกาสฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ 200 ปี คณะนักวิทยาศาสตร์ไทยและสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย มีมติให้วันที่ 18สิงหาคม เป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ และถวายพระราชสมัญญานามแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น